I'm sorry กล่าวคำขอโทษบ้าง คำกล่าวแสดงความเสียใจ หรือขอโทษ เป็นโยคที่ทุกคนต้องการได้ยิน ทั้งยังช่วยรักษาความรู้สึกซึ่งกันและกันได้ดี ถึงแม้จะเป็นหัวหน้าก็ตามเมื่อทำผิดก็ควรกล่าวคำขอโทษ เอาไปใช้ให้ติดปาก แล้วคุณจะรู้ว่าตำพูดดีๆ สร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นให้กับทั้งตัวคุณเองและน้องๆ ในทีมได้อย่างไร เรื่อง: ทีมวิชาการ บริษัท สำนักพัฒนาการบริหารธรรมนิติ จำกัด
หากเราจะพูดถึงนิยามของคำว่า การเป็นหัวหน้าที่ดี นั้นหมายความว่าอะไร คุณสมบัติที่เราพูดถึงก็คงจะหนีไม่พ้นการเป็นคนเก่งและขยัน แต่จริง ๆ แล้วการเป็นหัวหน้าที่ดีนั้นก็มีมากกว่าการเป็นคนเก่งและขยันเช่นกัน เพราะหากคุณเป็นแค่คนขยันและเก่งเท่านั้น การจะนำพาทีมให้ประสบความสำเร็จได้ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ยาก แล้วคุณสมบัติอะไรที่จะทำให้เราเป็นหัวหน้าที่ดีได้บ้าง?
1. มีความเป็นผู้นำ อย่าลืมนะ ไม่ว่าเราจะมี ลูกน้องที่เก่งและดีแค่ไหน สุดท้ายพวกเขาต้องการความเป็นผู้นำจากคุณทั้งนั้น ดังนั้น คุณควรโชว์ความเป็นผู้นำให้กับลูกน้องของคุณ ได้เห็นในทุกกรณี ไม่ว่าจะเรื่องของความรับผิดชอบ ความตรงต่อเวลา ความฉลาดทางความคิด ในการทำงาน และฉลาดด้านอารมณ์ สิ่งเหล่านี้ จะทำให้ลูกน้องได้เห็นเป็นต้นแบบ และเกิดความศรัทธาในตัวคุณตามมา และหาก คุณมีความเป็นผู้นำที่ดี ลูกน้องก็อาจเห็นคุณเป็นต้นแบบของการทำงานไปเลยก็ได้ 2. ให้เครดิตทีมเสมอ มีหลายครั้ง ที่หัวหน้าพัง เพราะลืมให้เครดิตทีมงาน เพราะคุณอย่าลืมนะ ว่าคนทำงานทุกคน มีตัวตนจะงานเล็กงานน้อยก็ถือว่าเป็นผลงานของเขาเช่นกัน ดังนั้น หากหัวหน้าลืมข้อนี้ไป มันก็ง่ายมากที่ลูกน้องจะเฟล ฉะนั้น ให้เกียรติคนทำงาน ด้วยการให้เครดิตพวกเขาอยู่เสมอ เริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการบอกตัวเองในใจ ว่าเรามาตรงนี้ได้เพราะเรามีทีมที่ดี แค่นี้ลูกน้องก็ปลื้มแล้ว 3. ตัดสินใจที่เฉียบคม และรับผิดชอบแทนทีม นี่คือคุณสมบัติที่สำคัญมาก ของคนเป็นหัวหน้าคน เพราะการตัดสินใจจะบอกได้ถึงวุฒิภาวะ หลายครั้งที่การตัดสินใจ ของหัวหน้าผิดพลาด หรือการตัดสินใจที่ไม่เฉียบคม ทำให้ลูกน้องเกิดความเบื่อหน่ายและ เมื่อสะสมนานเข้า สุดท้ายก็อาจหมดศรัทธาในตัวของหัวหน้าในที่สุด ฉะนั้นทุกครั้งที่ต้องตัดสินใจอะไร หัวหน้าต้องเด็ดขาด และรับผิดชอบผลของการตัดสินใจของตัวเองแทนทีมทุกครั้ง 4.
สนับสนุนและเป็นแรงผลักดันที่ดีให้กับลูกน้อง คนทำงานทุกคนล้วนอย ากได้กำลังใจ และแรงผลักดันที่ดี ดังนั้นหัวหน้าที่อย ากให้ลูกน้องกดเลิฟ ต้องเข้าใจข้อนี้นะคะ วิธีการก็คือคุณต้องคอยสร้างความเชื่อมั่น และความมั่นใจให้กับลูกน้อง ลูกน้องทำดีต้องมีคำชม ลูกน้องทำพลาด ต้องรู้จักให้โอกาส และรู้จักค้นหาความสามารถ หรือจุดเด่นของลูกน้องของตัวเอง แต่ละคนเพื่อ ผลักดันให้เขาแสดงผลงานได้ดียิ่งขึ้น แบบนี้ไม่มีลูกน้องคนไหนไม่อย ากทำงานด้วยหรอกเชื่อสิ หรือคุณอาจจะใช้วิธีส่งลูกน้องไปเรียนรู้เพิ่มเติม ด้วยการซื้อค อร์ส เรียนให้เสริม เพื่อเพิ่มทักษะในอาชีพ แบบนี้ก็จะดีทั้งกับตัวคุณและก็ลูกน้องด้วยนะ 5.
I'm proud of you ภูมิใจในตัวพวกคุณ ลูกน้องทุกคนชอบฟังคนรอบข้าง ไม่ว่าจะพ่อแม่ หัวหน้า หรือคนรอบข้างกล่าวชื่นชมว่าภูมิใจในตัวพวกเขา โดยเฉพาะคำชมจากหัวหน้าว่าภูมิใจในผลงานที่ลูกน้องทำ ช่วยเพิ่มกำลังใจในการทำงาน 5. Thank you ขอบคุณ เชื่อหรือไม่ว่า 58% ของการสำรวจลูกน้องในที่ทำงานชอบให้หัวหน้ากล่าวแสดงการขอบคุณเมื่อลูกน้องทำงานเสร็จลุล่วง 6. No one is perfect ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ บางครั้งการทำงานที่มีข้อผิดพลาด ไม่ควรอย่างยิ่งสำหรับคำพูดซ้ำเติมหรือว่ากล่าว ทางที่ดีหัวหน้าควรพูดให้กำลังใจ เพราะทุกอย่างไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบที่สุด แต่ให้เอาข้อผิดพลาดนั้นมาเป็นบทเรียน 7. What can I do to help? มีอะไรให้ช่วยได้บ้าง ลูกน้องทุกคนต้องการให้หัวหน้าสนับสนุน และยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ คอยติดตามความเป็นไปของสิ่งที่เข้าไปช่วยเหลือ 8. I need your help อย่าอายที่ต้องขอความช่วยเหลือจากคนที่ด้อยกว่า เมื่อต้องการความช่วยเหลือจากใครซักคน อย่าอายที่ต้องกล่าวขอความช่วยเหลือจากลูกน้องของคุณ เพราะพวกเขาเต็มใจและพร้อมช่วยเหลือคุณอยู่แล้ว 9. I made a mistake ยอมรับเมื่อทำขอผิดพลาด ไม่มีลูกน้องคนไหนที่ให้ความเคารพหัวหน้าที่ปัดความรับผิดชอบ หรือไม่ยอมรับเมื่อตัวเองทำผิด ซ้ำร้ายยังมีหัวหน้าบางประเภทที่ชอบโยนความผิดให้คนอื่นรับช่วงต่อ หัวหน้าประเภทนี้เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี และลูกน้องจะเริ่มตีตัวออกห่าง วิธีเรียกความศรัทธาคืนมาที่ไวที่สุดคือยอมรับข้อผิดพลาดของตัวเอง และแก้ไขข้อผิดพลาดนี้ให้ถูกต้อง 10.
พร้อมติดต่อได้เสมอ คุณอาจจะไม่ได้อยู่ในทุกโปรเจคหรือเป็นสมาชิกในทุกๆการประชุม แต่คุณควรเตรียมพร้อมสำหรับคำถามไว้เสมอ คุณอาจจะมีคำถามและต้องคอยติดตามผลด้วยตัวเองเช่นเดียวกัน 8. ยอมรับความผิดของตัวเอง แน่นอนว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบทั้งหมด ดังนั้นหากคุณ ทำงานพลาด การยอมรับสิ่งที่พลาดเพื่อเป็นตัวอย่างให้แก่ลูกทีมของคุณ สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มความไว้ใจให้แก่ทีมคุณและทำให้คุณแก้ปัญหาได้เร็วยิ่งกว่าเดิม 9. คุณทำได้ไหม? ทีมที่มีความสุขในการทำงานย่อมมองหาโอกาสสร้างสิ่งใหม่ๆหรือแก้ไขปัญหาที่มี แต่ทีมที่ทำงานแบบเช้าชามเย็นชามย่อมไม่อยากทำอะไรแปลกจากเดิม 10. ปั้นคนขึ้นมาใหม่ สมาชิกในทีมแต่ละคนย่อมมีจุดแข็งและทักษะที่พิเศษแตกต่างกัน และธุรกิจย่อมต้องการผู้นำใหม่ๆ มอบการฝึกอบรมและความรู้เพื่อที่จะหาคนเหล่านี้ที่สามารถผลักดันให้เติบโตยิ่งกว่าเดิมได้อีก
ลงมือทำให้เห็น หากคุณไม่อยากทำ ก็อย่าขอให้คนในทีมทำ ถ้าคุณไม่สามารถอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบงานยากๆได้ อย่าคาดหวังว่าลูกน้องคุณจะอยู่จนจบงานได้เช่นเดียวกัน 2. จัดสรรเครื่องมือ อุปกรณ์ สนับสนุนให้พร้อม ลูกน้องของคุณอาจติดขัดเรื่องการทำงานจากการขาดทักษะ อุปกรณ์ หรือซอฟท์แวร์ใหม่ๆ อย่าลืมถามว่าลูกน้องของคุณขาดสิ่งใดไปเพื่อให้ทำงานได้โดยสำเร็จ 3. เลิกตามงานบ่อยๆ เลือกคนให้ถูกงาน คุณจะไม่ต้องวุ่นวายไปดูแลเพิ่มเติมให้มากมาย การตามงานบ่อยๆทำให้เกิดความไม่พอใจและเสียเวลา หากคุณไม่สามารถไว้ใจคนในทีมคุณได้ คุณอาจ เลือกคนเข้ามาทำงานไม่เหมาะสม ก็เป็นไปได้ 4. หัวหน้าก็คน แน่นอนว่าผู้นำก็มีอารมณ์ทั้งดีใจเสียใจเหมือนลูกน้อง การร่วมแชร์ความสนุกสนานหรือความเครียดร่วมไปกับทีมย่อมทำให้ทุกคนอยากแชร์ความรู้สึกออกมาตรงๆเช่นเดียวกับคุณ การยอมรับซึ่งกันและกันสัมพันธภาพระหว่างทีมแน่นแฟ้น 5. เป้าหมาย คือ สิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง ในฐานะผู้นำ คุณควรให้คนในทีมเข้าใจถึงความสำคัญในงานของพวกเขาที่จะมีผลต่อความสำเร็จขององค์กร และเข้าใจถึงหน้าที่ของตนที่ช่วยให้เป้าหมายในองค์กรบรรลุได้อย่างแท้จริง 6. สนุกสนานเข้าไว้ นอกเหนือจากเป็นการลดความเครียดแล้ว เสียงหัวเราะยังช่วยสร้างบรรยากาศที่ดีระหว่างทีมอีกด้วย ทำให้เกิดความรู้สึกอยากทำงานร่วมกัน 7.
ใช้แรงทำเงิน & ให้เงินทำงาน กด Subscribe รอเลย… Facebook | Line | Youtube | Instagram การทำงานเป็นทีม หมายถึง การร่วมกันทำงานของสมาชิกที่มากกว่า 1 คน โดยที่สมาชิกทุกคนนั้นจะต้องมีเป้าหมายเดียวกันจะทำอะไรแล้วทุกคนต้องยอมรับร่วมกัน และมีการวางแผนการทำงานร่วมกัน การทำงานเป็นทีมมีความสำคัญในทุกองค์กร และเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของการบริหารงาน รวมถึงมีบทบาทสำคัญที่จะนำไปสู่ความสำเร็จของงานที่ต้องอาศัยความร่วมมือของกลุ่มสมาชิกเป็นอย่างดี และนี่คือลักษณะของทีมที่ดี 4 ประการ 1. มีปฏิสัมพันธ์เป็นเครือข่าย หมายถึง สมาชิกตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่มีความเกี่ยวข้องกันในกิจการของกลุ่ม หรือ ทีม ตระหนักในความสำคัญของกันและกัน แสดงออกซึ่งการยอมรับ การให้เกียรติกัน สำหรับกลุ่มขนาดใหญ่มักมีปฏิสัมพันธ์กันเป็นเครือข่ายมากกว่าการติดต่อกันตัวต่อตัว 2. มีเป้าหมายร่วมกัน หมายถึง สมาชิกกลุ่มมีส่วนกระตุ้นให้เกิดกิจกรรมร่วมกันของทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากจุดประสงค์ของสมาชิกในทีมสอดคล้องกับเป้าหมายองค์กร ก็จะนำมาซึ่งความสำเร็จของการทำงานได้ง่าย 3. มีโครงสร้างทีม หมายถึง ระบบพฤติกรรม ซึ่งเป็นแบบแผนเฉพาะกลุ่ม ที่สมาชิกต้องปฏิบัติตามกฏ อาจจะเป็นกลุ่มแบบทางการ (Formal Group) หรือกลุ่มแบบไม่เป็นทางการ (Informal Group) ก็ได้ แต่สมาชิกทุกคนในทีมต้องยอมรับและปฏิบัติตาม 4.