ยอดขายการรับรู้จะต่ำหรือเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ 2. ต้นทุนสูงและมีการจัดการมาก 3. กำไรน้อยมาก 4. การจัดจำหน่ายอยู่ในขอบเขตจำกัด ขั้นที่ 2 ขั้นการเจริญเติมโต (Growth stage) มีลักษณะคือ 1. ยอดขายการรับรู้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว 2. กำไรสูงขึ้นตามยอดขาย 3. คู่แข่งเริ่มเข้าสู่ตลาด 4. มีการกระจายการจัดจำหน่ายให้กว้างขึ้น ขั้นที่ 3 ขั้นเจริญเติมโตเต็มที่ (Maturity stage) ยอดขายเพิ่มขึ้นสู่จุดสูงสุดและจะเริ่มลดลง เนื่องจากตลาดใกล้ถึงจุดอิ่มตัวและมีคู่แข่งขันมาก 1. ยอดขายและกำไรจะสูงถึงจุดสูงสุดและเริ่มลดลง 2. ต้นทุนลดลง (ผลิตมากขึ้น) 3. เพิ่มช่องทางการจัดจำหน่าย 4. ปรับปรุงรูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ขั้นที่ 4 ขั้นตกต่ำ (Decline stage) มีลักษณะดังนี้ 1. ยอดขายลดลงมาก 2. กำไรลดลง 3.
Brand Extensions การขยายตราผลิตภัณฑ์ หมายถึง แบรนด์ที่มุ่งพัฒนาแบรนด์เดิม และเพิ่มประเภทของผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งการมีมาสเตอร์แบรนด์ที่แข็งแกร่งนี้ สามารถนำมาต่อยอดเพื่อเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ได้ 4.
ลุยต่อกับผลิตภัณฑ์เดิม กลยุทธ์นี้อาจดูแปลกนิดนึงครับแต่มันเป็นการเดิมพันกับการคาดหวังว่าคู่แข่งขันของคุณจะออกไปจากตลาดซะเอง ด้วยการทั้งลดราคาและลดต้นทุนการทำโปรโมชั่นรูปแบบต่างๆลง และมันอาจหมายถึงว่าคุณต้องจับตลาดที่คุณแข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ให้มั่นแล้วยอมที่จะละทิ้งตลาดที่ไม่ทำกำไรหรือไปต่อไม่ไหว ก็เน้นๆกันไปกับตลาดที่สร้างกำไรให้คุณนั่นเอง 2. ปรับปรุงผลิตภัณฑ์เดิมที่มีอยู่ การปรับเปลี่ยนเล็กๆน้อยๆทั้งรูปล่างลักษณะหรือคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์ เพื่อดึงดูดใจลูกค้าและขับเคลื่อนยอดขาย 3.
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนที่มีการพัฒนาและออกแบบเชิงวิศวกรรม เพื่อนำสิ่งที่พรรณนาในเชิงคำพูดลายลักษณ์อักษร ภาพวาดหรือแบบผลิตภัณฑ์ให้เป็นผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) ที่จะทำให้ลูกค้ามองเห็นถึงคุณสมบัติของตัวผลิตภัณฑ์ หลังจากนั้นควรทำการทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการและภาคสนามเพื่อให้มั่นใจในตัวผลิตภัณฑ์ว่าตลาดยอมรับได้ 5. การทดสอบและแนะนำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด ผลการทดสอบตลาดมีความเป็นไปได้ที่กิจการจะมีผลกำไรจากผลิตภัณฑ์ใหม่ กิจการจะต้องพิจารณาเลือกช่วงเวลา ในการเข้าสู่ตลาด ขอบเขตของตลาด ตลาดเป้าหมายหรือกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและกลยุทธ์ทางการตลาดในช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ ซึ่งประโยชน์ของการแนะนำผลิตภัณฑ์มีดังนี้ ทำให้การพยากรณ์ยอดขายในอนาคตมีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เพื่อทดสอบแผนงานด้านตลาดแบบต่าง มีหลักการ 5 ประการในการตั้งชื่อ กล่าวคือ 1. 1 การเลือกชื่อที่ง่ายต่อการออกเสียง 1. 2 การเลือกชื่อที่พรรณนาถึงรูปร่างลักษณะ 1. 3 การใช้ชื่อที่สามารถได้รับการคุ้มครองทางกฎหมาย 1. 4 การพิจารณาชื่อที่สะดวกต่อการส่งเสริมการตลาด 1. 5 การเลือกชื่อที่สามารถใช้กับหลายสายผลิตภัณฑ์ 2. บรรจุภัณฑ์ (Packaging) นอกเหนือจากช่วยป้องกันตัวผลิตภัณฑ์แล้ว บรรจุภัณฑ์ยังเป็นเครื่องมือที่เพิ่มคุณค่าของสินค้า บางผลิตภัณฑ์ลูกค้าซื้อสินค้าโดยตัดสินใจจากบรรจุภัณฑ์ ในการใช้บรรจุภัณฑ์เป็นเครื่องมือในทางการตลาด กิจการควรพิจารณาสิ่งต่าง ๆ ต่อไปนี้ 2.
วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์จะประกอบด้วยวงจร 4 ขั้นตอน คือ 1.
กลยุทธ์การตลาดแบบดึง หรือที่เรียกว่า กลยุทธ์ส่งเสริมการขายแบบดึง หมายถึง กลยุทธ์ ที่ บริษัท เพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์ของตน ต้นทุนผลิตภัณฑ์รวมถึงวัสดุทางตรง (DM) ค่าแรงทางตรง (DL) และค่าโสหุ้ยในการผลิต (MOH) ดึงกลยุทธ์การตลาด หมุนรอบรับผู้บริโภค ในทำนองเดียวกันจะถามว่าตัวอย่างกลยุทธ์การดึงคืออะไร? กลยุทธ์ การส่งเสริมการขาย แบบดึง ใช้การโฆษณาเพื่อสร้างความต้องการของลูกค้าสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตัวอย่างเช่น การ โฆษณาของเล่นเด็กในรายการโทรทัศน์สำหรับเด็กเป็น กลยุทธ์ดึง ประการที่สอง บริษัทใดบ้างที่ใช้กลยุทธ์การดึง ตัวอย่างที่พบบ่อยที่สุดสำหรับแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในการ ใช้กลยุทธ์การดึง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ได้แก่ Adidas, Nike, Reebok, Zara, Louis Vuitton และอื่น ๆ อีกมากมาย ในเรื่องนี้ ตัวอย่างของกลยุทธ์การตลาดแบบพุชคืออะไร? กลยุทธ์ผลักดัน พยายามขายตรงไปยังผู้บริโภค เลี่ยงช่องทางการจัดจำหน่ายอื่นๆ ตัวอย่าง นี้จะขายประกันหรือวันหยุดโดยตรง ด้วย กลยุทธ์ ประเภทนี้ การส่งเสริมการขายและการโฆษณาของผู้บริโภคเป็นเครื่องมือ ส่งเสริมการขายที่ มีแนวโน้มมากที่สุด กลยุทธ์การตลาดแบบผลักและดึงต่างกันอย่างไร?