การออกแบบคือการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ซึ่งเบื้องหลังงานออกแบบไม่ได้ใช้เพียงแค่ทักษะอย่างเดียว แต่ต้องผ่านกระบวนการคิด การทำงานที่ถูกต้องด้วย จึงกลายเป็นที่มาของ "Design Thinking" กระบวนการคิดเพื่อแก้ไขปัญหา และสามารถประยุกต์ใช้ในงานอื่นๆ ได้อย่างหลากหลาย Design Thinking คืออะไร?
กำหนดประเด็นปัญหา (Define) การกำหนดประเด็นปัญหา คือ การสังเคราะห์ความเข้าใจจากขั้นตอนของการ Empathize ให้ได้มาซึ่ง ข้อมูลเชิงลึกของปัญหา (Insight) ซึ่งประกอบด้วย ช่องว่างและโอกาส (Gap/Opportunity) ไม่ใช่เพียงแต่ ความต้องการ (์Need) ของกลุ่มเป้าหมายเท่านั้น โดย Insight จะสามารถนำไปออกแบบวิธีการแก้ไขปัญหา จนเกิดเป็นนวัตกรรมที่สามารถแก้ไขปัญหาได้จริง สำหรับเครื่องมือที่นิยมใช้เพื่อสังเคราะห์ให้ได้มาซึ่ง Insight ก็มีอยู่หลากหลาย เช่น Empathy Map, Root Cause Analysis, Journey Map เป็นต้น Photo by Dallas Reedy on Unsplash 3. Ideate (ระดมความคิด) เมื่อเราทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายและสังเคราะห์จนได้ Insight ของปัญหาแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนของ การระดมความคิดในการแก้ไขปัญหา (Ideate) ซึ่งคำว่า Ideate มาจาก 2 องค์ประกอบหลัก ได้แก่ ความคิด (Idea) รวมเข้ากับ ความสร้างสรรค์ (Create) กลายเป็น Ideate ดังนั้น หัวใจหลักในขั้นตอนนี้คือ การระดมความคิดหรือไอเดียการแก้ไขปัญหาจาก Insight ให้ได้มากที่สุด โดยมีข้อควรระวังคือ อย่าพึ่ง!!! ให้เหตุผลและตัดไอเดียใด ๆ ออก แม้ว่าไอเดียนั้นจะสุดโต่ง (Extreme) ขนาดไหนก็ตาม ไอเดียที่ Extreme มักจะนำมาซึ่ง นวัตกรรมใหม่ ๆ บนโลกใบนี้ เช่น ในปี ค.
ศศิมา สุขสว่าง - อ. เก๋ - หากนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ โปรดอีเมล์แจ้งขออนุญาตก่อนที่ หรือใส่เครดิต อ. ศศิมา สุขสว่าง ด้วยค่ะ ขอบคุณมากค่ะ) โมเดล Design Thinking ของ, Stanford university Source:, Stanford university โมเดลของ, Stanford university มีกระบวน 5 ขั้นตอน ดังนี้ 1. Empathize ขั้นแรก การเข้าใจกลุ่มเป้าหมายหรือผู้ใช้งานจริง (Empathize) คือ การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริง เข้าใจในปัญหา ความต้องการ ความจำเป็น อารมณ์ ความรู้สึก การกระทำที่ออกมา ความหมายในสายตาของกลุ่มเป้าหมาย วิธีการทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายนี้ สามารถใช้ได้หลายวิธี เช่น การสังเกตพฤติกรรม (Observe) การสัมภาษณ์ (Ask) การฟังอย่างลึกซึ้ง (Listen) เพื่อให้เข้าใจเป้าหมายและประเด็นที่ต้องการแก้ไข การระบุปัญหา หรือประเด็น (Problem statement) หลังจากที่ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายด้วยกระบวนการข้างต้นแล้ว จากนั้นคือการระบุปัญหาที่ต้องการแก้ไขให้ชัดเจน และเป็นปัญหาที่แท้จริง 3. Ideate การระดมความคิด (Ideate) ขั้นตอนนี้จะใช้วิธีการระดมสมอง ผสมผสานกับเครื่องมือต่างๆ เช่น 5 Why, Brain storming เป็นต้น คิดให้ได้ไอเดียให้มากที่สุด ซึ่งต้องใช้ทั้ง Creative thinking คิดนอกกรอบ, Analysis thinking วิเคราะห์ข้อมูล จากนั้นค่อยจัดให้เหลือไอเดียที่ดี จำนวนหนึ่ง และสามารถนำมาทำเป็นต้นแบบได้จริง 4.
คิดเร็ว ทำเร็ว นำไอเดียไปแปลงให้เป็น "ผลงาน" โดยคำนึงถึง "เวลา" และ "ค่าใช้จ่าย" ที่จำกัด โดยมีวิธีการคือ 3. 1 ทดลองสร้างต้นแบบ (Prototype) และยึดหลักทดลองหลายๆ ครั้ง ล้มเหลวบ่อยๆ ล้มเหลวให้เร็ว เพื่อจะได้รีบเรียนรู้ความผิดพลาด 3.
Design Thinking เป็นวิธีการออกแบบที่ทำให้เกิดแนวทางพื้นฐานสำหรับการแก้ปัญหาต่างๆ มันมีประโยชน์อย่างมากในการจัดการกับปัญหาที่ซับซ้อนด้วยการทำความเข้าใจความต้องการของมนุษย์ การกำหนดกรอบของปัญหาโดยเน้นมนุษย์เป็นจุดศูนย์กลาง การระดมสมองเพื่อหาไอเดียที่หลากหลาย และการสร้างต้นแบบไปจนถึงการทดสอบวิธีการนั้น มาทำความเข้าใจกับ 5 ขั้นตอนของกระบวนการ Design Thinking ที่จะช่วยให้คุณสามารถใช้มันเพื่อแก้ปัญหาอันซับซ้อนที่เกิดขึ้นรอบตัวได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในบริษัท ในประเทศ หรือแม้แต่ปัญหาระดับโลก 1. Empathise ขั้นตอนแรกของกระบวนการ Design Thinking คือการทำความเข้าใจปัญหาที่เราพยายามแก้ไข โดยการสังเกต การมีส่วนร่วม และการเอาใจใส่ผู้คนรอบตัวเพื่อทำความเข้าใจประสบการณ์และแรงจูงใจของพวกเขา การเอาใจใส่เป็นสิ่งสำคัญต่อกระบวนการออกแบบที่เน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางอย่างแนวคิด Design Thinking เป็นอย่างมาก เพราะมันช่วยให้เราสามารถตั้งสมติฐานเกี่ยวกับผู้คนรอบตัวและความต้องการของพวกเขาได้ 2.